Skip to main content

เพิ่มความสูงให้ลูกด้วย 3 วิธีง่ายๆ กับการ กิน นอน ออกกำลังกาย

              พ่อแม่ทุกคนก็ต่างเฝ้ามองพัฒนาการของลูกตลอดเวลาทั้งเรื่องพัฒนาการทางร่างกาย อารมณ์ สมอง ในเรื่องของร่างกายส่วนสูงก็ดูจะเป็นสิ่งที่พ่อแม่หลายคนให้ความสำคัญ เลยสรรหาของที่มีประโยชน์ต่างๆมาช่วยเช่น วิตามินเสริม นมแคลเซียมสูงต่างๆ แต่อยากให้ลูกสูงนอกจากการกินแล้ว ยังมีวิธีอื่นอีกด้วย ใครอยากให้ลูกสูงต้องไปดูพร้อมๆกันเลยค่ะ

นมแคลเซียมสูง

1. เสริมแคลเซียมให้กระดูก
วิธีเพิ่มความสูงด้วยการดื่มนมแคลเซียมสูง นับเป็นที่นิยมอย่างมากทีเดียว เพราะจากการศึกษาวิจัยในต่างประเทศหลายแห่งพบว่า การดื่มนมนั้นมีความสัมพันธ์กับความสูงของเด็ก พ่อแม่จึงควรส่งเสริมให้ลูกดื่มนมจืดวันละ 2 แก้ว หรือประมาณ 400 มิลลิกรัม รวมถึงการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่

2. นอนให้พอและเป็นเวลา
พยายามให้ลูกนอนหลับอย่างเพียงพอ เพราะเวลาที่กำลังนอนหลับนั้น เป็นเวลาที่ฮอร์โมนการเจริญเติบโตทำงาน
สำหรับเด็กเล็ก ควรนอนหลับ 10 – 13 ชั่วโมงต่อคืน ที่สำคัญคือถ้าอยากให้ลูกสูง และมีสุขภาพที่ดี ควรให้ลูกเข้านอนเป็นเวลา และตื่นเป็นเวลา หรือนอนและตื่นเวลาเดียวกันในทุก ๆ วันด้วย แม้แต่วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ก็ตาม

3. ออกกำลังกายเป็นประจำ
การออกกำลังกายที่ช่วยกระตุ้นความสูงได้ดี คือการออกกำลังกายที่เพิ่มแรงกดต่อกระดูกปานกลาง เช่น วิ่ง ฟุตบอล เทนนิส แบดมินตัน กระโดดเชือก บาสเกตบอล ฯลฯ ทั้งนี้เพราะกระดูกจะไม่เหมือนกับอวัยวะอื่น ๆ ต้องมีแรงกระแทกจึงจะทำให้กระดูกยืดตัวขึ้น แต่ควรเล่นแต่พอดีและอย่าหักโหมเกินไปค่ะ

ดื่มนมช่วยให้สูงขึ้นจริงหรือ? แคลเซียมไม่ใช่ตัวเร่งความสูงก็จริง แต่ถ้าขาดแคลเซียมจะทำให้ความสูงชะงักได้ ดังนั้นควรให้ลูกดื่มนมเป็นประจำเพื่อกระดูกที่แข็งแรง และให้ความสำคัญต่อการรับประทานโปรตีนที่เพียงพอในแต่ละวันเพื่อเร่งความสูงค่ะ

ทั้งหมดนี้จะเป็นตัวช่วย กระตุ้นความสูงให้กับลูกได้เพียงแค่รับประท่นอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ ดื่มนมที่มีแคลเซียมสูง นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอร่วมกับการออกกำลังกายเป็นประจำเพียงแค่นี้ก็ช่วยทำให้ลูกมีพัฒนาการความสูงเพิ่มขึ้นและเติบโตสมวัยได้แล้วค่ะ

Comments

Popular posts from this blog

Stroke | โรคเส้นเลือดในสมองตีบ และ เส้นเสื้อในสมองแตก ต่างกันยังไงนะ?

           “โรคหลอดเลือดสมอง” (Stroke) เกิดขึ้นเมื่อสมองขาดเลือดไปเลี้ยงเนื่องจาก เส้นเลือดในสมองตีบ หรือเส้นเลือดสมองแตก เป็นเหตุให้เนื้อเยื่อในสมองนั้นถูกทำลายลง ส่งผลให้การทำงานของสมองหยุดชะงัก ส่งผลให้เซลล์สมองถูกทำลายเสียหาย หากผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่มีชีวิตอยู่ก็มักจะมีความพิการหลงเหลืออยู่ได้แก่ อัมพฤกษ์ อัมพาต นั่นเอง แบ่งเป็น 2  ประเภท คือ โรคหลอดเลือดสมองตีบ(Ischemic Stroke)  พบได้ประมาณ 70–85% ของโรคหลอดเลือดสมองทั้งหมด โรคหลอดเลือดสมองแตก(Hemorrhagic Stroke)  ทำให้มีเลือดออกมาอยู่ในเนื้อสมอง หรือเยื่อหุ้มสมอง พบได้ประมาณ 15–30% ของโรคหลอดเลือดสมองทั้งหมด โรคหลอดเลือดสมองตีบ                 ทำให้เซลล์สมองและเซลล์เนื้อเยื่ออื่นๆ ขาดเลือดอย่างเฉียบพลัน ซึ่งอาจเกิดจากภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงที่ผนังหลอดเลือด เช่น ไขมันและเกล็ดเลือด มาเกาะที่ผนังหลอดเลือดหรือมีการสร้างชั้นของผนังเซลล์หลอดเลือดที่ผิดปกติ ทำให้ผนังหลอดเลือดหนาและเสียความยืดหย...

การเตรียมความพร้อมก่อนวัดความดันโลหิตเองที่บ้าน

               ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกระบุว่า ความดันโลหิตสูงเป็นสาเหตุหลักอันดับหนึ่งของอัตราการเสียชีวิตทั่วโลก โดยภาวะความดันโลหิตสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคทางหลอดเลือดต่าง ๆ ดังนั้นการตรวจพบภาวะความดันโลหิตสูงและรับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ นั้นสามารถป้องกันโรคต่าง ๆได้อย่างทันท้วงที ซึ่งปัจจุบันเราสามารถตรวจวัดความดันได้เองที่บ้านโดยที่ไม่ต้องเดินทางไปตรวจที่โรงพยาบาลบ่อยๆแล้ว โดยการใช้ เครื่องวัดความดัน นั่นเอง ไปดูการเตียมความพร้อมและวิธีใช้เครื่องวัดความดันเองที่บ้านกันค่ะ การเตรียมความพร้อม การวัดความดันโลหิตด้วยตนเองอาจต้องทำในที่เงียบ ๆ หากจำเป็นต้องฟังเสียงหัวใจด้วย ควรปัสสาวะให้เรียบร้อยเสียก่อน เพราะการปวดปัสสาวะอาจส่งผลต่อค่าระดับความดันโลหิต หากมีการสูบบุหรี่หรือการดื่มกาแฟและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนก่อนหน้า ควรนั่งพักก่อนวัดความดันอย่างน้อย 1/2 ชั่วโมง พับแขนเสื้อขึ้น หากสวมเสื้อคลุมแขนยาวรัดแขนควรถอดออกก่อน ทำการวัดความดัน โดยกดปุ่มที่เครื่องเพื่อเริ่มวัดได้ทันที และรอให้แรงดันที่เครื่องคลายตัวลงจนเป็...

วิธีดูแลผู้ป่วยแผลกดทับและป้องกันไม่ให้เป็นมากขึ้น

             แผลกดทับ เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยและมีความสำคัญในผู้ป่วยอย่างมากโดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยสูงอายุและผู้ป่วยที่ต้องนอนติดเตียงหรือไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้เพราะเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยซ้ำเติมแหละมีอาการหนักขึ้น อีกทั้งการดูแลรักษายังทำให้ต้องใช้ทรัพยากรต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย การเลือกใช้ ที่นอนลมสำหรับผู้ป่วย  จึงช่วยลดโอกาสหรือความรุนแรงอาการแผลกดทับได้ นอกจากนี้ยังมีวิธีดูแลรักษาตนเองด้วยวิธีต่าง ๆ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะดังกล่าวอีกค่ะ การป้องกันการเกิดแผลกดทับ การเปลี่ยนและจัดท่าผู้ป่วย โดยตามลักษณะของผู้ป่วย โดยยึดเอาความสามารถในการเคลื่อนไหวร่างกายของผู้ป่วยเป็นสำคัญ ได้แก่ 1) ผู้ป่วยที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ และนอนบนเตียง ควรปรับเปลี่ยนท่านอนใหม่ทุก ๆ 2 ชั่วโมง 2) ผู้ป่วยที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ และนั่งบนรถเข็น ควรปรับเปลี่ยนท่านั่งใหม่ทุก ๆ 1 ชั่วโมง 3) ผู้ป่วยที่รู้สึกตัวดีและสามารถช่วยเหลือตนเองได้บ้าง ควรช่วยผู้ป่วยขยับเปลี่ยนท่าด้วยตนเองทุก 15 นาที              นอ...